เว็บบราวเซอร์
(Web Browser )
Web Browser
เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการเลือกดูเอกสารในระบบอินเตอร์เน็ตที่เป็น WWW ซึ่ง Web Browser นั้นจะต้องเชื่อมต่อไปยัง เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ
โฮสต์ เพื่อเรียกข้อมูลที่ต้องการ
Web
browser เป็นเครื่องมือทีใช้ในการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตที่สำคัญ
ข้อดีของ Web Browser สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างสวยงาม มีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ
และระบบมัลติมิเดียต่าง ๆ
ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความ
น่าสนใจมากขึ้น
ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน
ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต ได้แก่
- ใช้ในการติดต่อสื่อสาร โดยผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า E – Mail (Electronics mail) ซึ่งมีความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการติดต่อด้วยวิธีอื่น
ๆ
- แหล่งค้นคว้าข้อมูลขนาดใหญ่ เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ หรือเปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดสาธารณะนั่นเอง
- แหล่งรวมโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมต่าง
ๆ มาใช้ได้ โดยมีทั้งแบบเสียค่าใช้จ่ายและแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
- การถ่ายโอนข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือจากสถานที่ที่ระยะทางอยู่ห่างไกลกัน
- ใช้สนทนาพูดคุยโต้ตอบกันโดยผ่านทางแป้นพิมพ์และจอภาพ
- แหล่งรวมความบันเทิงต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป้นภาพยนต์ ดนตรี
และเกมที่สามารถเล่นโต้ตอบกันผ่านทางเครือข่ายได้
- เป็นเครื่องมือในการติดต่อซื้อขายทางธุรกิจ
ซึ่งเป็นที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ก็คือ E
– Commerce
ข้อจำกัดและผลกระทบของอินเตอร์เน็ต
ข้อจำกัดของอินเตอร์เน็ต ได้แก่
- ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้น
เพราะจะต้องเสียค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์ในการต่ออินเตอร์เน็ตในแต่ละครั้ง
- จะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์จึงจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้
ผู้ใช้จึงค่อนข้างเป็นผู้ที่มีกำลังทรัพย์ในการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์
ผลกระทบของอินเตอร์เน็ต
- อาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสายตาได้
เพราะการจ้องมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
- หากใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้องก็เกิดผลเสียแก่ตัวผู้ใช้เอง
ได้ เช่น
เว็บไซด์ที่เป็นไปในทางลามกอนาจารและการลักลอบขโมยข้อมูล เป็นต้น
มาตรฐานที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ก็คือ
โปรโตคอล
ซึ่งโปรโตคอลที่เรานิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน ก็คือ
โปรโตคอลที่ชื่อว่า TCP/IP TCP/IP
คือ ภาษากลางบนอินเตอร์เน็ต
ทำให้เครื่องสามารถเข้าใจกันได้ สิ่งที่ช่วยให้เรารู้ที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องก็คือ ไอพีแอดเดรส
(IP Address ) เป็นหมายเลขประจำตัวเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ซึ่งไม่ซ้ำกับเครื่องอื่นในโลกโดยมีจุด (.)
เป็นสัญลักษณ์แบ่ง
ตัวเลขเป็นชุดจะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 255
ลักษณะการทำงานของอินเตอร์เน็ตก็คือ
เราจะต้องทราบที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์เมื่ออยู่บนอินเตอร์เน็ต จึงจะสามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกันได้ถูกต้อง
ตัวอย่าง ไอพีแอดเดรส เช่น 202.44.202.3
ถึงแม้อินเตอร์เน็ตจะใช้ไอพีแอดเดรสในการทำงาน แต่เป็นตัวเลขที่ยาวทำให้ผู้ใช้จำยาก
จึงมีการใช้โดเมนเนมมาใช้ซึ่งเป็นตัวอักษรที่จำง่ายมาใช้แทนไอพีแอดเดรส โดเมนเนมจะไม่ซ้ำกัน และมักถูกตั้งให้สอดคล้องกับชื่อบริษัท
องค์กร เช่น nasa.gov เป็นต้น
ความหมายของโดเมนเนม ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นได้จำแนกเป็น 6 ประเภท
1.
.com - กลุ่มองค์การค้า (Commercial)
2.
ede - กลุ่มกี่ศึกษา (Education)
1. .mit
- กลุ่มองค์การทหาร
(Military)
2. .net - กลุ่มองค์การ บริการเครือข่าย(Network Services)
3. .org - กลุ่มองค์กรอื่น ๆ(Organizations)
4. .int
- หน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ
(International)
ตัวอย่าง เช่น
www.ipst.ac.th เป็นเว็บไซต์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาสาสตร์และเทคดนโลยีซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษา จึงใช้โดเมนย่อยเป็น .ac และ .th หมายถึง Thailand นั่นเอง
ความหมายของโดเมนย่อยในไทย
”
.ac สถาบันการศึกษา (Academic)
” .co องค์กรธุรกิจ(Commercial)
” .or องค์กรอื่น ๆ(Organization)
” .net ผู้วางระบบเน็ตเวิร์ก (Networking)
” .go หน่วยงานของรัฐบาล(Government)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมีดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ CPU
Pentium 233 ขึ้นไป
2. หน่วยความจำ (RAM)
64 MB. ขึ้นไป
3. ฮาร์ดดิสก์ความจุ 1.2
GB.ขึ้นไป
4. จอภาพแบบ SVGA
5. โมเด็มความเร็วตั้งแต่ 33.6
Kbps-56 Kbps
6. โทรศัพท์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ 1 คู่สาย
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
จะใช้สายโทรศัพท์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของเรา เข้ากับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า โมเด็ม
(Modem ) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
เพราะสายโทรศัพท์นั้นมีอยู่ทั่วไปและไม่ยุ่งยาก
แต่มีข้อเสียคืออาจเกิดสัญญาณรบกวนภายในสาย ทำให้การเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต “หลุด” ได้
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้จำนวนมาก
จะใช้สาย Lease Line ซึ่งเป็นสายส่งข้อมูลเช่ารายเดือน
การโอนย้ายข้อมูลจะมีความเร็วสูงกว่าการใช้โทรศัพท์ การเชื่อมต่อแบบนี้เหมาะสำหรับบริษัทหรือองค์กรที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมาก หรือต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา เพื่อให้บริการข้อมูลเท่านั้น
เพราะค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเชื่อมต่อแบบส่วนบุคคลมาก
ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต
-
ISP (Internet Service Provider )
หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต สิ่งสำคัญในการใช้อินเตอร์เน็ต
ก็คือ การจัดการอินเตอร์เน็ตมาใช้
ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นผู้ใช้จะต้องพิจารณาเลือกรายการที่ดีที่สุด
สำหรับลักษณะของการใช้อินเตอร์เน็ตนั้นแบ่งได้เป็นการใช้อินเตอร์เน็ตที่สถานศึกษาหรือองค์กร
หากคุณอยู่ในสถานศึกษาก็อาจจะมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ฟรีหรือเสียค่าบริการเป็นเทอมซึ่งจะสะดวกและประหยัดได้มาก
ส่วนในองค์กรส่วนใหญ่นั้นจะมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
อยู่แล้ว
- การใช้อินเตอร์เน็ตที่บ้าน จำเป็นจะต้องพิจารณาผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเป็นสำคัญ โดยคุณสามารถทำได้ดังนี้
1.
ซื้อแบบ Package
มาทดลองใช้
ซึ่งแบบนี้จะจำกัดชั่วโมงและจำกัดระยะเวลาในการใช้ เช่น 3 เดือน 6 เดือน
เป็นต้น
2.
สมัครเป็นสมาชิกรายเดือน
ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการให้บริการในลักษณะนี้มากขึ้น คือ ผู้ใช้เสียค่าบริการเป็นรายเดือน และสามารถเล่นได้ไม่จำกัดชั่วโมงภายใน 1 เดือน
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
คือ
1.ตรวจสอบดูว่ามีบริการใดให้บ้าง เพราะผู้ให้บริการบางรายให้บริการแต่ WWW แต่ไม่ให้บริการ E – Mail
แหล่งที่มา https://www.l3nr.org/posts/292895
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น